วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บุคลากรทางการศึกษา









บุคลากรทางการศึกษา

          บุคลากรทางการศึกษา” หมายความว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษารวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการการเรียนการสอน การนิเทศ 




ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

เป็นบุคลากรของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในราชการไทย ในอดีตมีชื่อเรียกว่า "ข้าราชการครู" ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการครูที่สังกัดการปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าราชการครูองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานครูเทศบาล พนักงานครูองค์การบริหารส่วนตำบล ปัจจุบันมี 3 ประเภท
ผู้สอนในหน่วยงานการศึกษา
ประกอบด้วยตำแหน่งต่างๆ ได้แก่ ครูผู้ช่วย ในราชการส่วนท้องถิ่นมีตำแหน่ง ครูผู้ดูแลเด็ก (หรือ ครู ผดด.) และหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (หรือ หน.ศผด.) ซึ่งเทียบเท่าครูผู้ช่วย
1. ครู
2. อาจารย์
3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์
4. รองศาสตราจารย์
5. ศาสตราจารย์



ทั้งนี้ตำแหน่งตามข้อ 3-6 จะมีได้เฉพาะในสถานศึกษาที่สอนระดับปริญญา
ครูตามข้อ 1 และ 2 แบ่งระดับอัตราเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ดังนี้
- ครูผู้ช่วย เป็นตำแหน่งที่บรรจุแต่งตั้งในระดับแรก (เทียบเท่าอาจารย์ 1 ระดับ 3 เดิม)
- ครู ค.ศ. 1 (เทียบเท่าอาจารย์ 1 ระดับ 4-5)
- ครู ค.ศ. 2 เป็นวิทยฐานะครูชำนาญการ แต่งตั้งจากครู ค.ศ. 1 (เทียบเท่าตำแหน่งอาจารย์ 2)
- ครู ค.ศ. 3 เป็นวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ แต่งตั้งจากครู ค.ศ. 2 ที่มีผลงานวิชาการผ่านเกณฑ์ (เทียบเท่าตำแปน่งอาจารย์ 3 ระดับ 8)
- ครู ค.ศ. 4 เป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ แต่งตั้งจากครู ค.ศ. 3 ที่มีผลงานวิชาการผ่านเกณฑ์ (เทียบเท่าตำแหน่งอาจารย์ 3 ระดับ 9)
- ครู ค.ศ. 5 (เทียบเท่าตำแหน่งอาจารย์ 3 ระดับ 10)



     ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษาประกอบด้วยตำแหน่งต่างๆ ได้แก่


รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
ผู้อำนวยการสถานศึกษา
รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
ตำแหน่งที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด






บุคลากรทางการศึกษาอื่น

ประกอบด้วยตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด

http://goo.gl/forms/5YTJWNHtLP

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คุณค่ากล้วยไม้


คุณค่าของกล้วยไม้




    
 กล้วยไม้ไทยสกุลต่าง ๆ มีคุณค่าหลายประการด้วยกัน ดังนี้

1. คุณค่าด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี คนไทยมักนิยมใช้กล้วยไม้ในการประดับประดาที่พักอาศัย วัดวาอาราม  โดยผูกมัดต้นที่มีดอกไว้ ตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน ปะรำ  หรือเพิงพัก  รวมทั้งประดับประดา ตามต้นไม้ใหญ่บริเวณที่พัก   เช่น กล้วยไม้สกุลช้าง  และ สกุลกุหลาบ  ซึ่งเสน่ห์ของกล้วยไม้สกุลกุหลาบ อยู่ตรงที่ออกดอกเป็นพวง ห้อยระย้า และบางชนิดยัง มีกลิ่นหอมอีกด้วยลักษณะช่อดอกเป็นพวงนั้นมอง ดูคล้ายกับพวงมาลัยดอกไม้สด ต่างกันตรง ที่พวงมาลัย  เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น  แต่ช่อดอกกล้วยไม้้เป็น การสร้างสรรค์ ของธรรมชาติ  ด้วยความสวยงาม อันโดดเด่นจึงมี ผู้นำดอกกล้วยไม้สกุลกุหลาบไป ผสมพันธุ์   และเพาะเลี้ยง รวมทั้งตั้งชื่อ  เพื่อเป็น ที่ระลึก ถึงผู้ที่ตนรัก  หรือเคารพนับถือ เป็นพิเศษ เช่น กุหลาบผุสดี กุหลาบจำปาทอง เป็นต้น




วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การสะกดคำ


       การสะกดคำ หมายถึง



             การอ่านโดยนำพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมเป็นคำอ่าน ถือเป็นเครื่องมือการอ่านคำใหม่ ซึ่งต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคำพร้อมกับการอ่านการเขียน เมื่อสะกดคำจนจำคำอ่านได้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องใช้วิธีการสะกดคำนั้น ให้อ่านเป็นคำได้เลย จะทำให้นักเรียนอ่านจับใจความได้และอ่านได้เร็ว
การสะกดคำมีหลายวิธี ได้แก่

๑.สะกดตามรูปคำ
      เช่น กา   สะกดว่า กอ – อา – กา
            คาง สะกดว่า คอ – อา – งอ – คาง
            ค้าง สะกดว่า คอ – อา – งอ – คาง – ไม้โท – ค้าง
                       
                           ดังตัวอย่าง





๒.สะกดโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แล้วจึงสะกดมาตราตัวสะกด
       เช่น คาง สะกดว่า คอ – อา – คา – คา – งอ – คาง
             ค้าง สะกดว่า คอ – อา – คา – คา – งอ – คาง – คาง – โท – ค้าง

                        ดังตัวอย่าง





๓.คำที่มีสระอยู่หน้าพยัญชนะ ให้สะกดพยัญชนะก่อนสระเสมอ
       เช่น เก สะกดว่า  กอ – เอ – เก
             ไป สะกดว่า ปอ – ไอ – ไป

              ดังตัวอย่าง






๔.คำที่เป็นสระลดรูปหรือสระเปลี่ยนรูป อาจสะกดได้ดังนี้
       เช่น กัน  สะกดว่า กอ – อะ – นอ – กัน  
       หรือ กอ – ไม้หันอากาศ – นอ – กัน
             คน  สะกดว่า คอ – โอะ – นอ – คน หรือ คอ – นอ – คน
             แข็ง สะกดว่า ขอ – แอะ – งอ – แข็ง หรือ ขอ – แอะ – ไม้ไต่คู้ งอ – แข็ง
             เค็ม สะกดว่า คอ – เอะ – มอ – เค็ม หรือ คอ – เอะ – ไม้ไต่คู้ –  มอ – เค็ม

                 ดังตัวอย่าง





๕.คำอักษรควบ อาจสะกดได้ดังนี้
    ๕.๑ สะกดเรียงตัวอักษร มุ่งเพื่อการเขียนให้ถูกต้อง
       เช่น กลอง สะกดว่า กอ – ลอ – ออ – งอ – กลอง
             พราง สะกดว่า พอ – รอ – อา – งอ – พราง
             กวาง สะกดว่า กอ – วอ – อา – งอ – กวาง
     ๕.๒ สะกดตัวควบพร้อมกัน มุ่งเพื่อออกเสียงคำควบกล้ำให้ชัด
       เช่น กลอง สะกดว่า กลอ – ออ – งอ – กลอง
             พราง สะกดว่า พรอ – อา – งอ – พราง
             กวาง สะกดว่า กวอ – อา – งอ – กวาง

๖.คำอักษรนำ อาจสะกดได้ดังนี้
    ๖.๑ สะกดเรียงตัวอักษร มุ่งเพื่อการเขียนให้ถูกต้อง
        เช่น อยาก สะกดว่า ออ – ยอ – อา – กอ – อยาก
              หนา   สะกดว่า หอ – นอ – อา – หนา
              สนาม สะกดว่า สอ – นอ – อา – มอ – สนาม
     ๖.๒ อ่านอักษรนำแล้วจึงสะกด มุ่งเพื่อออกเสียงคำให้ถูกต้อง 
         เช่น อยาก สะกดว่า หยอ – อา – กอ – อยาก
               หนา   สะกดว่า หนอ – อา – หนา
               สนาม สะกดว่า สะหนอ – อา – มอ – สนาม

                   ดังตัวอย่าง



๗.คำที่ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด คำที่มีตัวการันต์ ให้ใช้หลักสังเกตรูปคำ รู้ความหมายของคำและจำคำให้ได้โดยอ่านและเขียนอยู่เสมอ เช่น เหตุ จันทร์



ข้อสังเกต

     ๑.การสะกดคำ อาจสอนได้หลายวิธี ครูควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม และใช้วิธีเดียวตลอดการสอน เพื่อมิให้นักเรียนสับสน

     ๒.การสอนแจกลูกและสะกดคำแต่ละครั้ง ไม่ควรใช้เวลานานเกินไป นักเรียนจะเหนื่อยและเบื่อหน่ายได้ ครูควรสอนควบคู่กับการสอนอ่านเป็นคำ เป็นประโยค เพื่อให้นักเรียนสนุกขึ้นเพราะได้เรียนคำที่มีความหมาย
     ๓.เมื่อนักเรียนมีพัฒนาการด้านการอ่านมากขึ้น ควรลดการอ่านแบบแจกลูกลง คงไว้แต่เพียงการอ่านสะกดคำเท่านั้น เพื่อมิให้เขียนหนังสือผิด และควรเลิกอ่านสะกดคำเมื่อนักเรียนอ่านเป็นคำได้เองแล้ว